วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

การใช้งาน Search engine

      Search Engine คือ เครื่องมือการค้นหาข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต ที่ทุกคนสามารถเข้าไปค้นหาข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตก็ได้ โดย กรอก ข้อมูลที่ต้องการค้นหา หรือ Keyword (คีเวิร์ด) เข้าไปที่ช่อง Search Box แล้วกด Enter แค่นี้ข้อมูลที่เราค้นหาก็จะถูกแสดงออกมาอย่างมากมายก่ายกอง เพื่อให้เราเลือกข้อมูลที่เราโดนใจที่สุดเอามาใช้ งาน โดยลักษณะการแสดงผลของ Search Engine นั้นจะทำการแสดงผลแบบ เรียงอันดับ Search Results ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเรา
Search Engine มี3ประเภท

ประเภทที่ 1 Crawler Based Search Engines
Crawler Based Search Engines คือ เครื่องมือการค้นหาบนอินเตอร์เน็ตแบบอาศัยการบันทึกข้อมูล และ จัดเก็บข้อมูลเป็นหลัก ซึ่งจะเป็นจำพวก Search Engine ที่ได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากให้ผลการค้นหาแม่นยำที่สุด และการประมวลผลการค้นหาสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้มีบทบาทในการค้นหาข้อมูลมากที่สุดในปัจจุบัน
โดยมีองประกอบหลักเพียง 2 ส่วนด้วยกันคือ
1. ฐานข้อมูล โดยส่วนใหญ่แล้ว Crawler Based Search Engine เหล่านี้จะมีฐานข้อมูลเป็นของตัวเอง ที่มีระบบการประมวลผล และ การจัดอันดับที่เฉพาะ เป็นเอกลักษณ์ของตนเองอย่างมาก
2. ซอฟแวร์ คือเครื่องมือหลักสำคัญที่สุดอีกส่วนหนึ่งสำหรับ Serch Engine ประเภทนี้ เนื่องจากต้องอาศัยโปรแกรมเล็ก ๆ (ชนิดที่เรียกว่า จิ๋วแต่แจ๋ว) ทำหน้าที่ในการตรวจหา และ ทำการจัดเก็บข้อมูล หน้าเพจ หรือ เว็บไซต์ต่าง ๆ ในรูปแบบของการทำสำเนาข้อมูล เหมือนกับต้นฉบับทุกอย่าง ซึ่งเราจะรู้จักกันในนาม Spider หรือ Web Crawler หรือ Search Engine Robots
ตัวอย่างหนึ่งของ Crawler Based Search Engine ชื่อดัง http://www.google.com


ประเภทที่ 2 Web Directory หรือ Blog Directory
Web Directory หรือ Blog Directory คือ สารบัญเว็บไซต์ที่ให้คุณสามารถค้นหาข่าวสารข้อมูล ด้วยหมวดหมู่ข่าวสารข้อมูลที่เกี่ยวข้องกัน ในปริมาณมาก ๆ คล้าย ๆ กับสมุดหน้าเหลืองครับ ซึ่งจะมีการสร้าง ดรรชนี มีการระบุหมวดหมู่ อย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้การค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ตามหมวดหมู่นั้น ๆ ได้รับการเปรียบเทียบอ้างอิง เพื่อหาข้อเท็จจริงได้ ในขณะที่เราค้นหาข้อมูล เพราะว่าจะมีเว็บไซต์มากมาย หรือ Blog มากมายที่มีเนื้อหาคล้าย ๆ กันในหมวดหมู่เดียวกัน ให้เราเลือกที่จะหาข้อมูลได้ อย่างตรงประเด็นที่สุด

ODP Web Directory ชื่อดังของโลก ที่มี Search Engine มากมายใช้เป็นฐานข้อมูล Directory 1.? ODP หรือ Dmoz ที่หลาย?ๆ คนรู้จัก ซึ่งเป็น Web Directory ที่ใหญ่ที่สุดในโลก Search Engine หลาย ๆ แห่งก็ใช้ข้อมูลจากที่แห่งนี้เกือบทั้งสิ้น เช่น Google, AOL, Yahoo, Netscape และอื่น ๆ อีกมากมาย ODP มีการบันทึกข้อมูลประมาณ 80 ภาษาทั่วโลก รวมถึงภาษาไทยเราด้วยครับ (URL : http://www.dmoz.org )
2. สารบัญเว็บไทย SANOOK ก็เป็น Web Directory ที่มีชื่อเสียงอีกเช่นกัน และเป็นที่รู้จักมากที่สุดในเมืองไทย (URL : http://webindex.sanook.com )
3. Blog Directory อย่าง BlogFlux Directory ที่มีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับบล็อกมากมายตามหมวดหมู่ต่าง ๆ หรือ Blog Directory อื่น ๆ ที่สามารถหาได้จาก Make Many แห่งนี้ครับ



ประเภทที่ 3 Meta Search Engine
Meta Search Engine คือ Search Engine ที่ใช้หลักการในการค้นหาโดยอาศัย Meta Tag ในภาษา HTML ซึ่งมีการประกาศชุดคำสั่งต่าง ๆ เป็นรูปแบบของ Tex Editor ด้วยภาษา HTML นั่นเองเช่น ชื่อผู้พัฒนา คำค้นหา เจ้าของเว็บ หรือ บล็อก คำอธิบายเว็บหรือบล็อกอย่างย่อ
ผลการค้นหาของ Meta Search Engine นี้มักไม่แม่นยำอย่างที่คิด เนื่องจากบางครั้งผู้ให้บริการหรือ ผู้ออกแบบเว็บสามารถใส่อะไรเข้าไปก็ได้มากมายเพื่อให้เกิดการค้นหาและพบเว็บ หรือ บล็อกของตนเอง และ อีกประการหนึ่งก็คือ มีการอาศัย Search Engine Index Server หลาย?ๆ แห่งมาประมวลผลรวมกัน จึงทำให้ผลการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ไม่เที่ยงตรงเท่าที่ควร.


ที่มา:pirun.ku.ac.th/~g5166319/page/Search%20Engine.doc

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทำความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ปี 2550

      พ.ร.บ.ฉบับนี้ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา  เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2550  และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2550 เป็นต้นไป
      ความผิดที่เข้าข่ายตามความผิด พ.ร.บ.ฉบับนี้
       1.เข้าถึงระบบคอมพิวเติร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ
       2.เปิดเผยข้อมูลมาตรการการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ
       3.เข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ
       4.ดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
       5.ทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง เพิ่มเติมข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ
       6.การกระทำเพื่อให้ระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
       7.การส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์รบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของคนอื่นโดยปกติสุข
       8.การจำหน่ายชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือกระทำความผิด
       9.การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทำความผิดอื่น  ผู้ให้บริการจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทำความผิด
       10.การตกแต่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นภาพบุคคล
     
       ผู้ให้บริการที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ.
       1.ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมไม่ว่าโดยระบบโทรศัพท์  ระบบดามเทียม  ระบบวงจรเช่าหรือบริการสื่อสารไร้สาย
       2.ผู้ให้บริการการเข้าถึงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไม่ว่าโดยอินเตอร์เน็ต  ทั้งผ่านสายและไร้สาย  หรือในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่จัดตั้งขึ้นเฉพาะในองค์กรหรือหน่วยงาน
       3.ผู้ให้บริการเช่าระบบเช่าคอมพิวเตอร์  หรือให้เช่าบริการโปรแกรมประยุกต์(Host Service Provider)
       4.ผู้ให้บริการข้อมูลคอมพิวเตอร์ผ่าน application ต่างๆที่เรียกว่า content provider เช่นผู้ให้บริการ web board หรือ web service เป็นต้น
      
       ข้อมูลของผู้ใช้บริการ
              ผู้ให้บริการทั้งที่เสียค่าบริการหรือไม่ก็ตาม  ต้องเก็บข้อมูลเท่าที่จำเป็นเพื่อให้สามารถระบุตัวผู้เข้าใช้บริการได้  ไม่ว่าจะเป็นชื่อนามสกุล  เลขประจำตัวประชาชน  USERNAME หรือ PIN CODE ไว้ไม่น้อยกว่า 90 วัน  นับตั้งแต่การใช้บริการสิ้นสุดลง
              หากผู้ให้บริการไม่ได้เก็บข้อมูลผู้ใช้บริการไว้ถือว่าทำผิดและอาจถูกปรับสูงถึง 500,000 บาท
        ผู้ใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต  ไม่ควรกระทำในสิ่งต่อไปนี้เพราะอาจทำให้เกิด "การกระทำความผิด"ตาม พ.ร.บ.นี้
        1.ไม่ควรบอก password แก่ผู้อื่น
        2.อย่าให้ผู้อื่นยืมใช้เครื่องคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อเข้าเน็ต
        3.อย่าติดตั้งระบบเครือข่ายไร้สายในบ้านหรือที่ทำงานโดยไม่ใช้มาตรการการตรวจสอบผู้ใช้งานและการเข้ารหัสลับ
        4.อย่าเข้าสู่ระบบโดย user ID และ password ที่ไม่ใช่ของท่านเอง
        5.อย่านำ user ID และ password ของผู้อื่นไปใช้ในงานเผยแพร่
        6.อย่าส่งต่อซึ่งภาพหรือข้อความหรือภาพเคลื่อนไหวที่ผิดกฏหมาย
        7.อย่ากด "remember me" หรือ "remember password" ที่เครื่องคอมพิวเตอร์สาธารณะ และอย่า log-in เพื่อทำธุรกรรมทางการเงินที่เครื่องสาธารณะ
        8.อย่าใช้ WiFi ที่เปิดให้เข้าใช้ฟรีโดยปราศจากการเข้ารหัสลับข้อมูล
       
        ความผิดทางอาญาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
        1.เจ้าของไม่ให้เข้าระบบคอมพิวเตอร์ของเขาแล้วเราแอบเข้าไป
           จำคุก 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
        2.ไปรู้วิธีการเข้าระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นแล้วยังไปบอกให้คนอื่นรู้ต่อ
            จำคุกไม่เกิน 1 ปี  หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
        3.แอบไปเจาะข้อมูลของผู้อื่นที่เก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์
           จำคุกไม่เกิน 2 ปี  หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
        4.แอบไปดักจับข้อมูลผ่านการสื่อสารทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์
           จำคุกไม่เกิน 3 ปี  หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
        5.ไปแก้ไขข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
            จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
        6.ส่ง packet หรือ messege หรือ virus หรือ trojan หรือ worm  หรืออะไรก็ตามเข้าไปก่อกวนระบบผู้อื่น
           จำคุกไม่เกิน 5 ปี  หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
        7.ส่งข้อมูลหรืออีเมลล์ให้ผู้อื่นซ้ำๆโดยผู้รับไม่ได้ร้องขอ
           ปรับไม่เกิน 100,000 บาท
        8.ความผิดข้อ 5.กับข้อ 6.ทำให้เกิดบุคคลเกิดความเสียหาย
           จำคุกไม่เกิน 10 ปีและปรับไม่เกิน 200,000 บาท
           หากก่อความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศชาติ  เศรษฐกิจและสังคม
           จำคุกตั้งแต่ 3-5 ปี  และปรับตั้งแต่ 60,000-300,000 บาท  และถ้าทำให้ใครตายก็จะเพิ่มโทษเป็นจำคุก 10-20 ปี
        9.ถ้าเป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์เพื่อทำให้ทำความผิดในหลายข้อข้างต้น 
           จำคุกไม่เกิน 1 ปี  หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
        10.สร้างภาพโป๊  เรื่องเท็จ  ทำการปลอมแปลง  กระทำการใดๆที่กระทบความมั่นคง  ก่อการร้ายและส่งข้อมูลทั้งๆที่รู้ว่าผิดตามที่กล่าวมาข้างต้น
             จำคุกไม่เกิน 5 ปี  หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท
        11.เจ้าของเว็บสนับสนุน/ยินยอมให้เกิดข้อ 10.
             จำคุกไม่เกิน 5 ปี  หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
        12.เอารูปผู้อื่นมาตัดต่อแล้วนำไปเผยแพร่ในระบบคอมพิวเตอร์
             จำคุกไม่เกิน 3 ปี  หรือปรับไม่เกิน 60,00 บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ